แผลเป็น เป็นสิ่งที่หลายคนไม่อยากให้เกิดขึ้นเพราะทำให้รู้สึกว่าร่างกายมีตำหนิทำให้เสียความมั่นใจในตัวเอง เมื่อมีบาดแผลเกิดขึ้นจึงมีความพยายามรักษาแผลอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดแผลเป็น โดยเฉพาะแผลเป็นนูนซึ่งสังเกตเห็นได้ชัดเจน จนเกิดคำถามว่า ขณะที่เกิดบาดแผลหากรับประทานไข่จะทำให้เกิดแผลเป็นนูน จริงหรือไม่ คำตอบคือ ไม่จริง
แผลเป็นนูน มี 2 ชนิด คือ
- แผลเป็นนูนเกิน แผลจะนูนขึ้นมาแต่ไม่ขยายเกินขอบเขตของบาดแผล
เมื่อเกิดขึ้นแล้วสามารถกลับมาใกล้เคียงกับแผลเป็นปกติได้ภายใน 1 ปี ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุ
ที่แน่ชัด
- แผลเป็นคีลอยด์ แผลจะนูนขึ้นมาและขยายเกินขอบเขตของบาดแผลเกิด
เมื่อเกิดขึ้นแล้วแผลจะนูนและใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ตามเวลา แผลเป็นชนิดนี้มีสาเหตุมาจากการที่ร่างกายสร้างเนื้อเยื่อ และคอลลาเจนเพื่อซ่อมแซมบาดแผลมากเกินไป อีกทั้งพันธุกรรมก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดแผลเป็นคีลอยด์เช่นกัน
การรับประทานไข่จึงไม่เกี่ยวข้องกับการเกิดแผลเป็นนูน ระหว่างเกิดบาดแผลสามารถรับประทานไข่ได้
ในปริมาณที่เหมาะสม
การดูแลแผลอย่างถูกวิธีจะช่วยลดการขยายตัวและการนูนตัวของแผลเป็นได้ และสามารถลดการขยายตัว และการนูนของแผลเป็นโดยการนวดบริเวณแผลเป็นเป็นประจำในระหว่าง 6 เดือนแรก
การรักษาแผลเป็นนั้นสามารถรักษาได้หลายวิธี เช่น ผ่าตัด ใช้สเตียรอยด์แบบฉีด ซึ่งวิธีเหล่านี้ต้อง
อยู่ในความดูแลของแพทย์ สำหรับวิธีที่สามารถดูแลแผลเป็นด้วยตัวเองโดยการใช้แผ่นแปะลดรอยแผลเป็นได้แก่
- แผ่นซิลิโคน (Silicone) ใช้หลังเกิดแผลสดหายดีแล้ว โดยปิดแผลเป็นตลอด 24 ชั่วโมงนาน 3 เดือน
- แผ่นเทปเหนียว (Microporous) ใช้ปิดลงบนแผลเป็น
อุปกรณ์ทั้งสองชนิดนี้จัดเป็นเครื่องมือแพทย์ สามารถซื้อและขอรับคำปรึกษาในการใช้แผ่นแปะ
ลดรอยแผลเป็นจากเภสัชกรได้ตามร้ายขายยาทั่วไป แนะนำให้เลือกซื้อแผ่นแปะที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยสังเกตเลขที่ใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์ก่อนซื้อทุกครั้ง
หากแผลเป็นนูนที่เกิดขึ้นสร้างความไม่สบายใจสามารถปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาด้วยวิธี
ที่เหมาะสมได้
สนับสนุนโดย : กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์