
อย. ปรับระบบสารสนเทศด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพใหม่ รองรับการให้บริการระบบ e-Submission เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการอย่างรวดเร็วถูกต้อง และทันสมัย
นายแพทย์วันชัย สัตยาวุฒิพงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ในปัจจุบันรัฐบาล ได้ให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานของรัฐที่ให้บริการประชาชนและภาคธุรกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการอย่างรวดเร็วถูกต้อง และทันสมัย สอดคล้องกับนโยบาย “Thailand 4.0” ให้ประชาชนและผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงการบริการภาครัฐอย่างทั่วถึง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ให้บริการแก่ผู้ประกอบการในการพิจาณาอนุญาตผลิตภัณฑ์สุขภาพได้ปรับปรุงระบบสารสนเทศด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพทั้งหมดขึ้นใหม่เพื่อให้รองรับการให้บริการขออนุญาตเป็นระบบ e-Submission เพื่อเพิ่มช่องทางการยื่นคำขออนุญาต และการอนุญาตผ่านระบบอิเล็กทรอนิคส์ตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการ รวมทั้งเพิ่มความรวดเร็วและความถูกต้องในการพิจารณาคำขอ ลดอุปสรรคทางเศรษฐกิจและการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งบางระบบบริการได้รับการพัฒนาเป็นระบบที่ไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่พิจารณาคำขอ หรือ Automated Service ผู้ยื่นคำขอจะได้รับการพิจารณาอนุญาตโดยทันทีหากมีข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ซึ่งส่งผลให้ผู้ประกอบการได้รับความสะดวกในการขออนุญาตมากยิ่งขึ้น และเพิ่มความโปร่งใสในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่
ดังนั้น ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2560 เวลา 08.30 – 16.30 น. ณ โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการและ คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ อย. จึงได้จัดประชุมชี้แจงผู้ประกอบการทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์และหน่วยงานราชการ ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจระบบ e-Submission ของ อย. อย่างถูกต้อง โดยการประชุมประกอบด้วย การเสวนา เรื่อง “การเตรียมความพร้อมเพื่อจัดทำฐานข้อมูลสินค้าแห่งชาติ National Product Catalogue” โดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) และการบรรยายเรื่อง “การพัฒนาระบบ e-Submission ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา” โดยผู้แทนจากกองผลิตภัณฑ์ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
เลขาธิการฯ กล่าวในตอนท้ายว่า อย. คาดหวังว่าการประชุมครั้งนี้ จะช่วยให้ผู้ประกอบการทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ และหน่วยงานราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง มีความรู้ความเข้าใจในระบบ ก่อให้เกิดการประสานความร่วมมือที่ดีระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการอย่างรวดเร็วถูกต้อง และทันสมัย ซึ่งจะนำไปสู่การคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ครอบคลุมและเข้มแข็งมากขึ้น