
รองนายกรัฐมนตรี “พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ” ประชุมคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนายุทธศาสตร์ การจัดการสารเคมี เห็นชอบ (ร่าง) แผนแม่บทการจัดการสารเคมี พ.ศ. 2562 – 2579 และข้อเสนอการพัฒนากฎหมายสารเคมีเพื่อลดความเสี่ยงอันตรายจากสารเคมี
วันนี้ (16 สิงหาคม 2561) ณ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนายุทธศาสตร์การจัดการสารเคมี ได้ประชุมคณะกรรมการ ครั้งที่ 2/2561 มีผู้แทนจากภาครัฐภาควิชาการ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียงกัน ที่ประชุมฯ มีมติเห็นชอบแผนแม่บทการจัดการสารเคมี พ.ศ. 2562 – 2579 ที่เสนอโดยคณะอนุกรรมการประสานนโยบายและแผนการดำเนินงานว่าด้วยการจัดการสารเคมี มีนายแพทย์ สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ เป็นประธาน แผนแม่บทฯ ฉบับนี้ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นกรอบนโยบายการจัดการสารเคมีของประเทศในระยะ 18 ปีข้างหน้าที่ยึดโยงกับยุทธศาสตร์ 20 ปี เพื่อให้ทุกหน่วยงานได้ดำเนินการอย่างเป็นเอกภาพ ไปทิศทางเดียวกัน สู่การบรรลุเป้าหมายอย่างยั่งยืน “ประชากรปลอดภัย สิ่งแวดล้อมสะอาด ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล” ภายใต้การดำเนินงานของแผนแม่บทการจัดการสารเคมีฉบับนี้ จะก่อให้เกิดการจัดการสารเคมีในประเทศที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ลดช่องว่างการดำเนินงานระหว่างหน่วยงาน ในการจัดการสารเคมีที่เป็นอยู่ เช่น การลักลอบทิ้งสารเคมีและของเสีย การลักลอบนำเข้าซากผลิตภัณฑ์มารีไซเคิล คัดแยกโลหะที่มีค่า การปนเปื้อนสารเคมีในพืชผักผลไม้และผลิตภัณฑ์ เป็นต้น การขับเคลื่อนการดำเนินงานแผนแม่บท การจัดการสารเคมีของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะทำให้ประชาชนไทยและเกษตรกรมีสุขภาพดี อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่สะอาด และได้บริโภคผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย รองนายกรัฐมนตรีฯ ได้มอบหมายสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา นำแผนแม่บทการจัดการสารเคมี พ.ศ. 2562 – 2579 เสนอต่อคณะรัฐมนตรีประกาศใช้อย่างเป็นทางการและขอให้ทุกหน่วยงานให้ความสำคัญจัดสรรงบประมาณที่เพียงพอในการดำเนินแผนงานโครงการภายใต้แผนแม่บทการจัดการสารเคมี พ.ศ. 2562 – 2579
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบกับข้อเสนอการพัฒนากฎหมายและมาตรการที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดความเสี่ยงอันตรายจากสารเคมี ที่เสนอโดยคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายสารเคมี มีศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.ภก.ภักดี โพธิศิริ เป็นประธาน แนวคิดการพัฒนากฎหมายสารเคมี จะอ้างอิงจากกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย เปลี่ยนบริบทของประเทศจากเดิมไปสู่การจัดการสารเคมีอย่างครบวงจร (นำเข้า ผลิต ขนส่ง ใช้ เก็บรักษา จำหน่าย กำจัด บำบัด ทำลาย และนำกลับใช้อีก) เน้นความเป็นเอกภาพ เชื่อมโยงระหว่างหน่วยงาน มีคณะกรรมการด้านนโยบายและด้านเทคนิค ครอบคลุมการใช้สารเคมีภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาคสาธารณสุข และภาคการขนส่งในอนาคต ภายใต้กฏหมายว่าด้วยสารเคมีฉบับนี้ จะทำให้สารเคมีทุกชนิดก่อนจะถูกนำไปใช้ในประเทศ จะถูกทำการประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมโดยคณะอนุกรรมการเทคนิค ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้รับการปกป้องความเสี่ยงอันตรายจากสารเคมี รวมทั้งการปกป้องคุณภาพสิ่งแวดล้อมในประเทศอย่างยั่งยืน นอกจากนี้กฏหมายฉบับนี้ยังสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจสารเคมีในประเทศให้สามารถแข่งขัน และได้มติมอบหมายให้คณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายสารเคมี ทำหน้ากำกับดูการยกร่างกฎหมายสารเคมีให้แล้วเสร็จภายในปี๒๕๖๔ สำหรับในระยะเร่งด่วน ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพ