
“การฉีดโบท็อกซ์” กำลังได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน โบท็อกซ์คืออะไร เอาไว้ทำอะไร และมีข้อควรระวังอะไรบ้าง วันนี้เรามีคำตอบ
โบท็อกซ์ คือ “Botulinum toxin A”เป็นโปรตีนที่สกัดมาจากแบคทีเรีย ชื่อ Clostridium botulinum ซึ่งต้องนำมาผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ ก่อนใช้จะนำมาผสมกับน้ำเกลือ ก่อนฉีดเข้าสู่กล้ามเนื้อที่ต้องการ ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวและเป็นอัมพาตชั่วคราว จึงสามารถลดริ้วรอยบนใบหน้าได้ และสามารถรักษาโรคบางชนิดที่เกิดจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อ
การฉีดโบท็อกซ์ จะต้องกระทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ไม่เช่นนั้นอาจเกิดอันตรายได้ โดยมากนิยมนำมาฉีดเพื่อยกกระชับใบหน้า ลดริ้วรอยเหี่ยวย่นหรือรอยตีนกา และปรับรูปหน้าให้เรียวได้ โดยทั่วไปแล้ว โบท็อกซ์ จะสามารถอยู่ภายในร่างกาย 4-6 เดือน หลังจากนั้นก็จะถูกขับออกจากร่างกาย ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีสาร Botulinum toxin A ตกค้างอยู่ในร่างกาย
ผลข้างเคียงที่อาจพบจากการฉีดโบท็อกซ์ ได้แก่ ฉีดแล้วใบหน้าไม่เท่ากัน แสดงสีหน้าไม่ได้ หน้าตึงเกินไป อาจมีอาการปวดศีรษะ หรือปวดบริเวณที่ฉีด เคี้ยวอาหารได้ยากขึ้น อาการคิ้วหรือหนังตาตก อาการเหล่านี้มักหายไปเองใน 1-2 สัปดาห์
สิ่งที่ไม่ควรทำหลังฉีดโบท็อกซ์
1. ไม่ควรนอนราบ ในช่วง 3-4 ชั่วโมงหลังการรักษา
2. หลังฉีดโบท็อกซ์ห้ามนวดในบริเวณที่ทำการรักษา ประมาณ 14 วัน
3. มาพบแพทย์ตามนัดเพื่อประเมินผลการรักษา
ผู้ไม่ห้ามฉีดโบท็อกซ์ ได้แก่
1. ผู้ที่มีความผิดปกติทางกล้ามเนื้อและระบบประสาท
2. กำลังตั้งครรภ์ / อยู่ในระหว่างให้นมบุตร
3. คนที่มีปัญหาเรื่องโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เช่น โรคหอบหืด โรคถุงลมโป่งพอง
4. ผู้ที่มีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือ มีภาวะติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือรับประทานยาอยู่ต้องบอกแพทย์ก่อนทำการทำหัตถการทุกครั้ง จะเห็นได้ว่าการจะสวยด้วยมือหมอ จะต้องศึกษาข้อมูลให้ดี ๆ เลือกแพทย์ที่จะทำหัตถการที่เชี่ยวชาญ และที่สำคัญ
โบท็อกซ์ที่นำมาฉีดนั้นจะต้องได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เท่านั้น