
ชุดทดสอบการตั้งครรภ์จะตรวจหาฮอร์โมนจากปัสสาวะที่เรียกว่า ฮอร์โมนฮิวแมน คอริโอนิก โกนาโดโทรฟิน (Human Chorionic Gonadotropin: hCG) หรือฮอร์โมนเอชซีจี โดยฮอร์โมนชนิดนี้จะถูกสร้างจากรกของตัวอ่อนหลังจากไข่ได้รับการปฏิสนธิ และตัวอ่อนมาฝังตัวที่ผนังมดลูก พบได้ประมาณ 6 วันหลังการปฏิสนธิ ปริมาณฮอร์โมนจะเพิ่มมากขึ้นเป็น 2 เท่าทุก 2-3 วัน จึงทำให้สามารถตรวจการตั้งครรภ์ในช่วงแรกได้จากน้ำปัสสาวะ
การแปลผล ผลตรวจขึ้น 2 ขีด ที่ C และ T แปลผลได้ว่า ผลเป็นบวก มีโอกาสตั้งครรภ์สูง
ผลตรวจขึ้น 1 ขีด ที่ C แปลผลได้ว่า ผลเป็นลบ ไม่น่าจะมีการตั้งครรภ์
ไม่แสดงขีดใดหรือผลการตรวจขึ้น 1 ขีดที่ T แปลผลได้ว่า แปลผลไม่ได้ ชุดตรวจน่าจะมีปัญหา ควรทำการตรวจซ้ำด้วยชุดตรวจอันใหม่
หากพบว่าผลการตรวจขึ้นขีดแบบจาง ๆ ไม่ชัดเจน หรือผลตรวจไม่พบขีดเกิดขึ้น ควรทำการตรวจซ้ำใหม่อีกครั้งหลังจากครั้งแรกประมาณ 2-3 วัน
ชุดทดสอบการตั้งครรภ์หลายยี่ห้อยืนยันความแม่นยำสูงถึง 98-99% อย่างไรก็ตามยังมีหลายปัจจัยที่ส่งผลให้ผลการตรวจเกิดความคลาดเคลื่อนได้ เช่น
1. ช่วงเวลาในการตรวจเร็วเกินไป เนื่องจากปริมาณฮอร์โมนเอชซีจีในปัสสาวะยังสูงไม่มากพอ
2. ความเข้มข้นของปัสสาวะ การดื่มน้ำมากเกินไปก่อนตรวจ อาจส่งผลต่อความเข้มข้นของฮอร์โมนในปัสสาวะได้
3. ค่าความไวในการตรวจของชุดทดสอบการตั้งครรภ์แต่ละยี่ห้อต่างกัน ยิ่งค่าความไวในการตรวจจับฮอร์โมนมีน้อย จะทำให้ผลอาจเป็นลบปลอมได้
4. การรับประทานยาบางประเภทที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเอชซีจี ส่งผลต่อการตรวจได้ เช่น ยาขับปัสสาวะ หรือยาแก้แพ้
คำแนะนำในการใช้ชุดทดสอบการตั้งครรภ์
1.ตรวจสอบวันหมดอายุของอุปกรณ์ก่อนการใช้งาน เนื่องจากสารเคมีในการทดสอบเสื่อมสภาพอาจทำให้เกิดความคลาดเคลื่อน
2.ควรเก็บชุดทดสอบการตั้งครรภ์ไว้ที่อุณหภูมิ 4 – 30 องศาเซลเซียส หลีกเลี่ยงความชื้นและอุณหภูมิที่ร้อนจัด
3.เมื่อแกะออกจากผลิตภัณฑ์ ควรใช้งานทันที เพราะเมื่อโดนความชื้น จะทำให้ประสิทธิภาพลดลงได้ ซึ่งอาจทำให้ผลตรวจผิดพลาด
4.อ่านวิธีการใช้และคำแนะนำอย่างละเอียด
5.ควรตรวจกับปัสสาวะแรกในช่วงตอนเช้า เพราะจะมีความเข้มข้นของฮอร์โมนเอชซีจีที่สูงกว่าช่วงอื่นของวัน
สรุปการตรวจการตั้งครรภ์ด้วยชุดทดสอบการตั้งครรภ์เป็นเพียงการทดสอบเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นบวกหรือลบ หากไม่แน่ใจควรพบแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อปรึกษาและทำการตรวจเพิ่มเติม ด้วยการตรวจภายในหรือตรวจด้วยผลเลือด