ปฏิเสธกันไม่ได้เลยว่า รสหวานดูจะเป็นรสชาติที่ผู้คนติดใจกันมากที่สุด ตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงผู้สูงวัย ความหวานก็นับเป็นสุนทรียรสของชีวิตอย่างหนึ่ง ถ้าเราสามารถควบคุมการกินให้อยู่ในปริมาณที่พอดี แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะหลงและเพลิดเพลินไปกับความหวานนานารูปแบบ จนเกินความต้องการของร่างกาย เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคและปัญหาสุขภาพตามมามากมาย อย. จึงมีเคล็ดไม่ลับกับการเลือกขนมหวานมาให้กินแบบพอดี มีความสุข และไม่เจ็บป่วยกัน
การกินขนมหวานมาก ๆ บ่อย ๆ อาจทำให้ติดหวาน น้ำตาลยิ่งมาก ยิ่งไม่ดีต่อสุขภาพ ทำให้ เสี่ยงต่อการเป็นโรคไม่ติดต่อเรือรัง (Non-Communicable Diseases : NCDs)ต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคความดันโลหิตสูง
จึงได้มีการแนะนำปริมาณน้ำตาลสำหรับเด็กและผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไป ในแต่ละวันไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกิน 4 ช้อนชา หรือ 16 กรัม (น้ำตาล 1 ช้อนชา จะเท่ากับประมาณ 4 กรัม) สำหรับผู้ที่ต้องการพลังงาน 1600 กิโลแคลอรี่/วัน และสำหรับวัยรุ่นหญิง/ชาย วัยทำงาน คือ ไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม สำหรับผู้ที่ต้องการพลังงาน 2000 กิโลแคลอรี่/วัน โดยให้คำนึงถึงสุขภาพและโรคประจำตัวของแต่ละบุคคลด้วย ปริมาณ 4 และ 6 ช้อนชานี้ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องกินให้ได้ 4 และ 6 ช้อนชาต่อวัน แต่หมายถึงว่าควรลดปริมาณน้ำตาลต่อวันให้น้อยที่สุดและไม่ควรบริโภคเกินจากนี้นั่นเอง
การอ่านฉลากโภชนาการ ฉลากโภชนาการแบบจีดีเอ (หรือฉลาก หวาน มัน เค็ม) หรือสัญลักษณ์โภชนาการ “ทางเลือกสุขภาพ” ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหาร ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการลดและควบคุมปริมาณน้ำตาลที่ได้รับจากการบริโภคอาหารหรือขนม ซึ่งจะบอกปริมาณน้ำตาลในผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ทำให้เราสามารถหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณน้ำตาลสูง รวมถึง ยังช่วยในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการเหมาะสมกับตนเอง
ฉฉฉ เคล็ดไม่ลับกับการเลือกขนม
-ฉลาก อ่านฉลากทุกครั้งก่อนเลือกซื้อ เลือกบริโภค
-ฉลาด ฉลาดซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมีประโยชน์ต่อร่างกาย
-เฉลียวใจ ตรวจสอบดูสภาพของผลิตภัณฑ์ก่อนซื้อ
ข้อมูลอ้างอิง
- ขนมหวานซ่อนโรคร้าย ทำลายสุขภาพ