
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมวิชาการเกษตร และสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ร่วมกับ กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ร่วมกันดำเนินโครงการเฝ้าระวังสารพิษตกค้างในผักและผลไม้สด ตามเกณฑ์มาตรฐานของไทย ซึ่งการดำเนินงานในปี 2561 มีการเก็บตัวอย่างผักและผลไม้สดทั้งหมด 41 ชนิดพืช รวม 7,054 ตัวอย่าง จากทั่วประเทศ ผ่านมาตรฐานร้อยละ 88.8 ไม่ผ่านมาตรฐานร้อยละ 11.2 และเมื่อนำปริมาณสารพิษที่ตรวจพบในผักและผลไม้สดมาประเมินความเสี่ยงของผู้บริโภค พบว่า 99.86 % อยู่ในระดับที่ปลอดภัย
นางสาวจูอะดี พงศ์มณีรัตน์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่าการบูรณาการทำงาของกระทรวงเกษตรเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงสาธารณสุข ในการตรวจสารพิษตกค้างในผักผลไม้ เริ่มตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งมีการตรวจวิเคราะห์ จำนวน 4,518 ตัวอย่าง และประเมินความเสี่ยงของผู้บริโภค ซึ่งได้จัดแถลงข่าวให้ประชาชนได้ทราบไปแล้วเมื่อเดือนกันยายน 2560 สำหรับในปี 2561 ได้มีการเตรียมการตั้งแต่ต้นปี โดยการวางแผนการเก็บตัวอย่าง และการเฝ้าระวังร่วมกัน เพื่อให้การดูแลเฝ้าระวัง ครอบคลุมกระบวนการผลิตและจำหน่ายผักผลไม้ ตั้งแต่ ฟาร์ม โรงคัดบรรจุ ไปจนถึง จุดจำหน่ายและบริโภค รวม 7,059 ตัวอย่าง ซึ่งจะได้ข้อมูลที่ครอบคลุม และนำไปใช้ประโยชน์ในการวางมาตรการกำกับดูแลของภาครัฐได้ ดีที่สุด สำหรับในปี 2561 กรมวิชาการเกษตรเก็บตัวอย่างจากแปลงที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) จำนวน 2,007 ตัวอย่าง และแปลงที่อยู่ระหว่างการตรวจรับรองมาตรฐานการปฏิบัติที่ดีทางการเกษตร (GAP) จำนวน 2,372 ตัวอย่าง รวม 4,379 ตัวอย่าง ผลการตรวจพบว่า ตัวอย่างที่เก็บจากแปลงเกษตรกรที่ได้รับการรับรอง GAP ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ร้อยละ 93.7 ส่วนแปลงที่อยู่ระหว่างขอรับการรับรอง GAP ผ่านเกณฑ์มาตรฐานร้อยละ 91.0 ซึ่งทั้งสองแหล่งมีผลการวิเคราะห์ใกล้เคียงกัน เนื่องจากเกษตรกรส่วนใหญ่ปฏิบัติตามมาตรฐาน GAP ซึ่งจะมีเกณฑ์ที่ควบคุมดูแลการใช้สารเคมีอย่างเข้มงวด ทั้งนี้ อาจยังมีเกษตรกรรายที่พบ การใช้สารเคมีไม่ถูกอยู่บ้าง ซึ่งกรมวิชาการเกษตรจะแจ้งผลการตรวจพบที่เกินมาตรฐานและแจ้งเตือนเกษตรกรให้ปรับปรุง พร้อมเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา หากแนวทางแก้ไขปรับปรุงไม่ได้ผลและตรวจพบปัญหาซ้ำ กรมวิชาการเกษตรจะพิจารณาให้พักใช้ใบรับรองแหล่งผลิตพืช หากเป็นแปลงใหม่ผลการตรวจประเมินไม่ผ่าน ตามเกณฑ์ที่กำหนด กรมวิชาการเกษตรจะไม่ออกใบรับรอง GAP ให้เกษตรกรรายนั้นๆ หรือหากตรวจพบวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ซึ่งเป็นสารเคมีที่ห้ามนำเข้า-ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครอง จะสั่งเพิกถอนใบรับรอง และสารวัตรเกษตรจะเข้าติดตามตรวจสอบร้านค้าจำหน่ายสารเคมี ทางการเกษตรในพื้นที่ หากพบการกระทำผิดจะแจ้งเรื่องส่งฟ้องดำเนินคดีต่อไป
นอกจากนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย มกอช. เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำหนดมาตรฐานสารพิษตกค้างในสินค้าเกษตรและปรับปรุงมาตรฐานให้เป็นปัจจุบันตามข้อมูลการใช้สารเคมีของไทยและตามมาตรฐานสากล รวมทั้งจัดทำฐานข้อมูลเพื่อใช้ประเมินความเสี่ยงต่อผู้บริโภค ในกรณีที่ตรวจพบสารพิษตกค้างเกินมาตรฐาน เพื่อร่วมกับกรมวิชาการเกษตรและกระทรวงสาธารณสุขดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุดต่อไป นางสาวจูอะดี พงศ์มณีรัตน์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าว
นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุข มีการเก็บตัวอย่างจากโรงคัดบรรจุผักผลไม้ ทั้งหมด 715 ตัวอย่าง ผลการตรวจผ่านเกณฑ์มาตรฐานร้อยละ 85.6 และสำหรับการเก็บตัวอย่างในจุดจำหน่ายและจุดบริโภค กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เก็บตัวอย่างจากห้างสรรพสินค้า 1,317 ตัวอย่าง ตลาดค้าส่งและตลาดสด 481 ตัวอย่าง และจากครัวโรงพยาบาล 162 ตัวอย่าง ผลการตรวจพบว่าตัวอย่างจากห้างสรรพสินค้านั้น สินค้าที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 86.4 สินค้าที่ไม่ได้รับการรับรองมาตรฐานผ่านเกณฑ์ร้อยละ 71.8 ตลาดค้าส่งและตลาดสด ผ่านเกณฑ์มาตรฐานร้อยละ 64.9 ครัวโรงพยาบาล ผ่านเกณฑ์มาตรฐานร้อยละ 77.8 ทั้งนี้ในปี 2562 กระทรวงสาธารณสุขจะมีการพัฒนาและยกระดับโรงคัดบรรจุ ให้มีมาตรฐานและระบบตามสอบย้อนกลับให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เลขที่ 386 ซึ่งจะเป็นการเสริมความมั่นใจในความปลอดภัยของผู้บริโภคมากขึ้น และในส่วนของตลาดสดจะมีการบูรณาการเพื่อพัฒนาให้ถูกอนามัยและปลอดภัย รวมทั้งโรงพยาบาลอาหารปลอดภัยจะมีมาตรการการจัดทำเมนูล่วงหน้า และมีการประสานกลุ่มบริษัทประชารัฐเพื่อรวบรวมวัตถุดิบ เจ้าหน้าที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในพื้นที่เพิ่มแหล่งวัตถุดิบที่ได้การรับรองมาตรฐาน
จากข้อมูลการตรวจของกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พบว่า ผักและผลไม้สดที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน 100 % มี 6 ชนิด ได้แก่ มันฝรั่ง หน่อไม้ฝรั่ง มังคุด ผักกาดขาวปลี ถั่วแขก และข้าวโพดหวาน พบสารพิษต่ำมาก โดยผักและผลไม้สดที่พบปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุด 6 อันดับแรก ได้แก่ พริก ถั่วฝักยาว คะน้า ส้ม มะเขือ และมะเขือเทศ แต่ทั้งนี้ยังมีความปลอดภัยในการบริโภค เนื่องจากสารตกค้างนี้จะเกิดอันตรายต่อเมื่อผู้บริโภค บริโภคในปริมาณมากเท่านั้น ผู้บริโภคจึงควรบริโภคอาหารที่หลากหลายไม่บริโภคอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งซ้ำๆ มากเกินไป ส่วนส้มซึ่งเป็นพืชที่พบปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุด หากปอกเปลือกแล้วจะทำให้ปริมาณสารพิษตกค้างลดลงกว่าร้อยละ 90 หรือหากจะนำส้มไปคั้นน้ำ ควรล้างเปลือกด้านนอกให้สะอาดก่อน
ที่สำคัญ ก่อนการบริโภคผักและผลไม้สด ผู้บริโภคควรล้างผักและผลไม้สดให้สะอาดเพื่อลดการตกค้างสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ด้วยวิธีการดังนี้ (1) การล้างผักผลไม้ด้วยวิธีล้างน้ำไหล จะช่วยลดปริมาณสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 25-65 (2) หากล้างในปริมาณมากใช้ผงฟูหรือเบคกิ้งโซดา ½ ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 10 ลิตร แช่ทิ้งไว้ 15 นาที ก่อนล้างน้ำสะอาด สามารถลดสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 90-95 หรือ (3) ใช้น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 4 ลิตร แช่ทิ้งไว้ 10 นาที ก่อนล้างน้ำสะอาด สามารถลดสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 60-84