
อย. เผย มาตรการกำกับดูแลยาทั้งก่อนและหลังออกสู่ตลาด โดยเฉพาะยากลุ่มแก้แพ้ แก้ปวด ไม่ว่าจะเป็น “ยาโปรโคดิล” ให้ร้านขายยาจำหน่ายได้เดือนละไม่เกิน 300 ขวด/แห่ง/เดือน ส่วน “ยาทรามาดอล” ให้ขายได้ไม่เกิน 1,000 แคปซูล/เดือน หากพบร้านยาไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย จะถูกพักใช้ใบอนุญาต 120 วัน ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 2558 ถึงปัจจุบันถูกพักใช้ไปแล้ว 40 ร้าน ย้ำให้ผู้บริโภคทราบ ยามีทั้งคุณและโทษ ยาทั้ง 2 ประเภทยังมีความจำเป็นต้องใช้ในระบบสุขภาพของไทย ขออย่านำยาไปใช้ในทางที่ผิด โดยเฉพาะปัญหาเด็กติดยา ขอให้ทุกฝ่ายทั้งครอบครัว สถาบันการศึกษา สังคมช่วยกันดูแลร่วมกันแก้ปัญหา เพื่ออนาคตที่ดีของชาติ
ภก.ประพนธ์ อางตระกูล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ในฐานะโฆษก อย. เปิดเผยว่า จากปัญหาการนำยาไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ติดตามแก้ไขปัญหาดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง มีทั้งบทลงโทษและการควบคุม ขอให้ประชาชนทราบว่า ยาแต่ละชนิดมีทั้งด้านที่เป็นประโยชน์ที่ใช้รักษาโรคหรืออาการเจ็บป่วย และอาจก่อให้เกิดโทษหากมีการนำไปใช้ในทางที่ผิด ล่าสุดที่พบปัญหาเยาวชนนำ “ยาโปรโคดิล” และ “ยาทรามาดอล” มาใช้ผิดวัตถุประสงค์จากการใช้เป็นยารักษาโรคด้วยการนำไปทำให้เกิดอาการมึนงงและเมา อย. ขอชี้แจงว่า ยากลุ่มแก้แพ้ และแก้ปวด เป็นยาที่รักษาโรคพื้นฐานของสังคมไทย เช่น ไข้หวัด แพ้อากาศ เมารถ เมาเรือ ปวดกล้ามเนื้อ เป็นต้น จึงเป็นยาที่ ประชาชนควรสามารถเลือกรับบริการได้จากร้านขายยาแผนปัจจุบันที่มีเภสัชกรเป็นผู้ให้คำแนะนำการใช้ยาที่ถูกต้อง เพื่อลดภาระและความแออัดของโรงพยาบาล การนำยามาใช้ในทางที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่ดี แต่หากนำมาใช้ในทางที่ผิด ก็ก่อให้เกิดปัญหาตามมามากมาย ทั้งนี้ ที่ผ่านมายาทั้ง 2 ชนิด ยังคงต้องให้มีบริการในร้านขายยาแผนปัจจุบัน เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ในการรักษาโรคพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาการนำยาไปใช้ในทางที่ผิด อย. ได้ควบคุมการจำหน่ายยาน้ำแก้ไอ ยาแก้แพ้ โดยให้ผู้รับอนุญาตผลิตยา และผู้รับอนุญาตนำเข้ายา จำกัดปริมาณการจำหน่ายไปยังร้านขายยาได้จำนวนไม่เกิน 300 ขวด/แห่ง/เดือน และขายได้ไม่เกิน 3 ขวด/คน โดยจะต้องขายให้เฉพาะผู้ที่มีความจำเป็นต้องใช้ เช่น มีอาการน้ำมูกไหล แพ้อากาศ เมารถ เมาเรือ ส่วนยาแก้ปวด จะกำหนดให้ร้านขายยาสามารถซื้อขายได้ ไม่เกิน 1,000 แคปซูลต่อเดือน ห้ามขายให้แก่เด็กอายุต่ำกว่า 17 ปี และขายได้ครั้งละไม่เกิน 20 แคปซูล ที่สำคัญยาดังกล่าวต้องไม่จำหน่ายให้กับเด็กที่จะนำไปใช้ในทางที่ผิด รวมถึงจะต้องทำบัญชีซื้อขายยาทุกครั้งด้วย นอกจากนี้ ยังให้ผู้ผลิต/ผู้นำเข้า ต้องส่งข้อมูลนำเข้าวัตถุดิบ ยาสำเร็จรูปที่ผลิตได้และปริมาณที่ขายผ่านระบบออนไลน์มาให้ อย. ทราบ โดยทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดก็จะได้รับทราบข้อมูลพร้อมกับ อย. ด้วย ทำให้แต่ละจังหวัดสามารถตรวจสอบข้อมูลปริมาณการซื้อขายยาจากร้านขายยาในจังหวัดของตนได้
ภก.ประพนธ์ อางตระกูลกล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ อย. อยู่ระหว่างประเมินสถานการณ์เพื่อทบทวนมาตรการควบคุมการใช้ยากลุ่มดังกล่าวอยู่ โดยอาจกำหนดให้ต้องขายในร้านขายยาคุณภาพที่มีเภสัชกรอยู่ควบคุมการขายตลอดเวลาที่เปิดร้าน อย่างไรก็ตาม อย. มีเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบร้านขายยาอย่างต่อเนื่อง หากพบว่ามีการซื้อขายยาในทางที่ผิด นอกจากจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายแล้วก็จะถูกพักใช้ใบอนุญาตเป็นเวลา 120 วันด้วย ซึ่งในช่วงต้นปี 2558 – ปัจจุบัน มีร้านขายยาที่กระทำผิดกฎหมายถูกพักใช้ใบอนุญาตไปแล้วกว่า 40 ร้าน ทั้งนี้ การแก้ปัญหาดังกล่าวหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคส่วนต่างๆในสังคมควรร่วมมือกันในการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยเริ่มต้นจากสถาบันครอบครัวที่ควรสร้างความอบอุ่น รับฟังปัญหาของเด็ก พร้อมให้คำแนะนำที่ถูกต้อง สถาบันการศึกษาในการให้ความรู้ ทัศนะคติและพฤติกรรมที่เหมาะสม หากิจกรรมให้เด็ก ๆ ทำยามว่าง เป็นต้น หากผู้ใดต้องการแจ้งเบาะแสร้านขายยาที่มีพฤติกรรมขายยาในทางที่ผิด สามารถแจ้งมาที่สายด่วน อย. 1556 หรือ Oryor Smart Application หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด