7 ความเชื่อเรื่อง “ยา” ที่คนเข้าใจผิด
24 พฤษภาคม 2566

หลักการใช้ยาที่ดี คือ ใช้อย่างถูกวิธี ตามขนาด และระยะเวลาการรักษาที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำ รวมถึงอ่านฉลากหรือเอกสารกำกับยาเพื่อศึกษาข้อมูลความปลอดภัย แต่ก็ยังมีบางความเชื่อที่คนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับการใช้ยาและถ่ายทอดกันมาแบบไม่ถูกต้อง อย.จึงพามาไขข้อข้องใจในแต่ละประเด็น ดังนี้

1. ขอหมอฉีดยาเพราะเข้าใจว่ายาฉีดดีกว่ายากิน

ผิด ประสิทธิภาพของยากินไม่ด้อยกว่ายาฉีด หากเป็นตัวยาชนิดเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นยากินหรือยาฉีดเมื่อใช้ในขนาดที่แนะนำ จะมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคพอ ๆ กัน ยาฉีดใช้ในกรณีผู้ป่วยวิกฤติหรือผู้ป่วยภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน หรือผู้ที่กำลังอาเจียน ไม่รู้สึกตัว กลืนยาไม่ได้

2. “กินยาดักไข้” ไว้ก่อนจะได้ไม่ป่วย

ผิด ยาลดไข้ ไม่ควรกินไว้ก่อนเพื่อป้องกันอาการไข้ การกินยาโดยไม่มีข้อบ่งชี้หรืออุณหูมิร่างกายไม่เกิน 37.5 องศาเซลเซียส ทำให้ร่างกายได้รับสารเคมีเข้าไปโดยไม่จำเป็น และอาจมีผลข้างเคียงจากยาลดไข้ เช่น ภาวะตับอักเสบ 

3. ยาทุกชนิดควรเก็บในตู้เย็น

ผิด ยาแต่ละชนิดมีความคงตัวต่างกัน ควรเก็บยาตามคำแนะนำบนฉลาก ยาบางชนิดหากเก็บในตู้เย็นอาจทำให้เกิดการเสื่อมสลายของตัวยาสำคัญเนื่องจากความชื้นและอุณหภูมิไม่เหมาะสม เช่น ยาแคปซูลเกิดการเยิ้มติดกันจากความชื้น ยาครีมเป็นก้อนแตกแข็ง อีกทั้งยังทำให้เกิดสารพิษขึ้นได้ เช่น แช่ยาเม็ดแอสไพรินในตู้เย็นที่มีความชื้นสูงทำให้เกิดพิษ ร่างกายขาดออกซิเจน ชัก และหมดสติได้เมื่อรับในปริมาณสูง

4. ยาของไทยประสิทธิภาพน้อยกว่ายาต่างประเทศ

ผิด ไม่ว่ายาจะผลิตขึ้นในไทยหรือต่างประเทศย่อมผ่านกระบวนการตรวจสอบมาตรฐานการผลิตและประกันคุณภาพของ FDA ประเทศนั้น ๆ ซึ่งแน่นอนว่ายาที่มีจำหน่ายอย่างถูกกฎหมายให้ประสิทธิภาพการรักษาเช่นเดียวกันหากใช้อย่างถูกต้องเหมาะสม ต่างกันที่ราคาซึ่งยาต้นแบบจะมีราคาสูงกว่ายาสามัญ (ยาที่มีตัวยาสำคัญชนิดเดียวกันกับยาต้นแบบที่เคยขึ้นทะเบียนไว้ แต่ผลิตขึ้นมาภายหลัง) เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนในการวิจัยและพัฒนายาใหม่ ซึ่งทั้ง 2 ชนิดต้องผ่านการรับรองทั้งนั้น

5. ปัสสาวะเปลี่ยนสี แปลว่ายานั้นออกฤทธิ์ดี

ไม่เสมอไป ขึ้นอยู่กับชนิดของยา หากกินยาแล้วสีของปัสสาวะเปลี่ยนไปอาจสื่อได้ 2 แบบ คือ 

1.ปัสสาวะเปลี่ยนสีจากการที่ยาถูกเปลี่ยนแปลงในร่างกาย เช่น กินยากันชัก Phenytoin ทำให้ปัสสาวะสีแดง หรือ ยาระบายมะขามแขก ทำให้ปัสสาวะมีสีน้ำตาลถึงดำ เป็นต้น ซึ่งมักไม่ก่อให้เกิดอันตราย ซึ่งสีของปัสสาวะอาจแตกต่างกันได้ในแต่ละคน

          2.ปัสสาวะเปลี่ยนสีจากผลข้างเคียงของยา บ่งบอกถึงอันตรายหรือความผิดปกติอื่นร่วมด้วย เช่น กินยาลดไขมันในเลือดบางกลุ่ม แล้วปัสสาวะมีสีน้ำตาลแดง ร่วมกับปวดกล้ามเนื้อ บ่งบอกถึงอาการไม่พึงประสงค์ของยาที่รุนแรง ต้องรีบพบแพทย์

6. ยาทาภายนอก ทาเยอะ ทาบ่อย ไม่เป็นอันตราย

ผิด โครงสร้างผิวหนังแต่ละแห่งมีผลต่อการดูดซึมตัวยาไม่เท่ากัน บริเวณที่ผิวบาง เช่น ใบหน้า จึงไม่ควรใช้ยาที่มีความเข้มข้นสูงหรือทายาในปริมาณมาก การใช้ยาในปริมาณมากและบ่อยไม่ได้ทำให้อาการหายไวขึ้น แต่อาจเพิ่มอันตรายจากตัวยาที่มากเกินไปถูกดูซึมเข้ากระแสเลือดเกิดผลข้างเคียงจากยา รวมถึงระคายเคืองบริเวณที่ทาได้ 

7. เลือกตัวยาที่มีฤทธิ์แรง เพื่อผลการรักษาที่ดีกว่า

ผิด หากมีการตอบสนองต่อยาทั่วไปดี ไม่จำเป็นต้องใช้ยาที่ออกฤทธิ์แรงกว่าเพื่อหวังผลการรักษาที่ดีกว่า เพราะยาที่ออกฤทธิ์แรงอาจมีผลข้างเคียงเพิ่มขึ้น และเปลืองค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น ยาที่มีฤทธิ์แรงเหมาะสำหรับผู้ที่ร่างกายไม่ตอบสนองต่อยาที่มีฤทธิ์อ่อน เกิดการติดเชื้อรุนแรง ดื้อยา หรืออาการของโรคซับซ้อน


ข้อมูลอ้างอิง 

ความเชื่อเรื่องการกินยา อันไหนจริงหรือมั่ว – รามา แชนแนล (mahidol.ac.th)

https://www.hfocus.org/content/2022/08/25848

เก็บยาทุกชนิดไว้ในตู้เย็น ดีจริงหรือ? – รามา แชนแนล (mahidol.ac.th)

ปัสสาวะเปลี่ยนสีหลังกินยา | โดยคณะเภสัชฯ ม.มหิดล (mahidol.ac.th)

https://www.doctor.or.th/article/detail/4534

ยาทาภายนอก ออกฤทธิ์ที่ไหน? | โดยคณะเภสัชฯ ม.มหิดล (mahidol.ac.th)

ยากินกับยาฉีด เลือกชนิดใด | โดยคณะเภสัชฯ ม.มหิดล (mahidol.ac.th)


คลังรูปภาพ
แท็กที่เกี่ยวข้อง
oryor
การรักษา
FDAknowledge
การเลือกซื้อ
สาระความรู้
ยา
อย.
ผลิตภัณฑ์ยา
ผลิตภัณฑ์สุขภาพ
การเก็บยา
การใช้ยา
ยาฉีด
กินยา
การกินยา
ปัสสาวะเหลือง