
โรคไขมันในเลือดผิดปกติหรือ dyslipidemia เป็นโรคหนึ่งในกลุ่มโรค NCDs ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีระดับไขมันในเลือดผิดปกติ เกิดการอักเสบในหลอดเลือด มีไขมันสะสมในหลอดเลือด ส่งผลต่อระบบหัวใจ และหลอดเลือด เช่น หลอดเลือดหัวใจตีบ หลอดเลือดสมองอุดตัน
การรับประทานยาลดระดับไขมันในเลือดนั้น จำเป็นต้องใช้ยาในการควบคุมโรคไปตลอด เพราะโรคเหล่านี้ หากเป็นแล้วก็จะมีการดำเนินไปของโรคมากขึ้นเรื่อยๆ แต่มักจะไม่แสดงอาการออกมา ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งจึงมีความเข้าใจผิดว่าหายแล้ว และอาจหยุดรับประทานยาเองได้ ซึ่งอาจทำให้โรคเลวร้ายลง และเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมาได้
โดยทั่วไปแล้ว ไขมันจะมีอยู่ 2 ประเภท คือ
1. โคเลสเตอรอล แบ่งออกเป็น 2 ชนิด
- LDL (low density lipoprotein) ไขมันตัวที่ไม่ดี ยิ่งมีมาก จะทำให้โรคดำเนินต่อไป และแย่ลง
- HDL (high density lipoprotein) ไขมันตัวดี ป้องกันการอักเสบ และการอุดตันของหลอดเลือด
2. ไตรกลีเซอไรด์
การรักษาโรคไขมันในเลือดผิดปกติ แบ่งออกเป็น 2 ช่วง
1. ช่วงแรกเป็นการใช้ยา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน
2. เมื่อเกิดภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นแล้ว เป้าหมายคือ การใช้ยาเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
ยากลุ่ม Statin เป็นยาหลัก ในการรักษาผู้ป่วยโรคไขมันในเลือดผิดปกติที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย สามารถลดปริมาณไขมันตัวที่ไม่ดี ลดปริมาณไตรกลีเซอไรด์ และเพิ่มปริมาณไขมันตัวที่ดีได้ด้วย นอกจากนี้ยังสามารถยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ต้านการอักเสบ และต้านอนุมูลอิสระได้อีกด้วย โดยทั่วไปแนะนำให้รับประทานวันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน เนื่องจากกระบวนการสร้างโคเลสเตอรอลจะเกิดขึ้นมากในช่วงเวลากลางคืน แต่ยาลดไขมันรุ่นใหม่บางชนิด ออกฤทธิ์ได้นานขึ้น สามารถรับประทานยาเวลาอื่น เช่น หลังอาหารเช้า ได้ ดังนั้น ควรรับประทานยาตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด
หากก่อนนอน ลืมรับประทานลดไขมัน แล้วนึกได้ในเวลาเช้าของอีกวัน ให้รับประทานยาของวันนั้นตามปกติโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยา เนื่องจากประสิทธิภาพของการลดไขมันโดยรวมจะไม่กระทบมากนัก การรับประทานยาเกินขนาดกลับจะเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงจากยามากขึ้น
การปฏิบัติตัว
1. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 30 นาที
2. รับประทานยาลดไขมันนั้นๆ ต่อไป ไม่ควรหยุดยาเอง
3. เน้นรับประทานผัก ผลไม้ และอาหารไขมันต่ำ
4. ควบคุมน้ำหนัก
5. ระวังการใช้อาหารเสริมหรือสมุนไพรที่โฆษณาว่าช่วยลดไขมันในเลือด อาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา และอาจเกิดผลข้างเคียงได้
6. เลิกสูบบุหรี่ เพราะ การสูบบุหรี่จะทำให้กระบวนการอักเสบของร่างกายเพิ่มมากขึ้น