น้ำตาลเทียม
20 เมษายน 2566

น้ำตาลเทียม คือกลุ่มของสารให้ความหวานเพื่อทดแทนน้ำตาล มีรสชาติหวานคล้ายน้ำตาลแต่มีพลังงานต่ำหรืออาจไม่ให้พลังงานเลยขึ้นอยู่กับแต่ละชนิด จึงได้ถูกนำมาใช้เพื่อเป็นทางเลือกให้คนที่รักษาสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวานและผู้ที่ต้องการควบคุมแคลอรี น้ำตาลเทียมนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารมากขึ้นเพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ใส่ใจสุขภาพ ซึ่งสารให้ความหวานแทนน้ำตาลในกลุ่มนี้ที่เราควรรู้จัก ได้แก่
         
1. แอสพาร์เทม (Aspartame) เป็นสารให้ความหวาน ที่อนุญาตให้ใช้ในอาหาร เช่น ครีมเทียม หมากฝรั่ง ซีเรียล ขนมหวาน เครื่องดื่ม และผลไม้แห้ง เป็นต้น ใน 1 วัน ไม่ควรรับประทานเกิน 40-50 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม

ข้อดี    ไม่ทำให้เกิดภาวะฟันผุ และไม่กระตุ้นน้ำตาลในเลือดให้สูงขึ้น เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน
ข้อเสีย เปลี่ยนแปลงโครงสร้างเมื่อเจอความร้อนสูงทำให้เกิดรสขมและความหวานลดลง ไม่ควรใช้ปรุงอาหารขณะร้อน

ข้อควรระวัง ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะฟีนิลคีโตนยูเรีย (phenylketonuria) ดังนั้นให้สังเกตฉลากที่แสดงข้อความว่า“มีphenylalanine” และแสดงคำเตือน “ห้ามใช้ในผู้ที่มีภาวะฟีนิลคีโตนยูเรีย”

          2. แซ็กคาริน (Saccharin) หรือขัณฑสกร เป็นสารให้ความหวาน ที่อนุญาตให้ใช้ในอาหาร เช่น เครื่องดื่มหรือผลิตภัณฑ์ที่มีนมเป็นส่วนผสม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่แต่งกลิ่นรส ผลไม้ดอง ไอศกรีม ขนมหวาน และหมากฝรั่ง เป็นต้น ใน 1 วัน ไม่ควรรับประทานเกิน 5 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม

ข้อดี    ทนต่อความร้อนสูงได้

ข้อเสีย การได้รับแซ็กคารินในปริมาณสูงอาจทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดินท้องเสีย ปวดท้อง มีอาการง่วงซึม และอาจชักได้  ห้ามใช้ในผู้ที่แพ้แซ็กคาริน

ข้อควรระวัง ระวังการใช้ในสตรีมีครรภ์

          3. แอซีซัลเฟม โพแทสเซียม (Acesulfame potassium) เป็นสารให้ความหวาน ที่อนุญาตให้ใช้ในอาหาร เช่น อาหารประเภทของอบ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ของหวานที่แช่แข็งหรือแช่ตู้เย็น ซอสรสหวานต่างๆ และน้ำตาลโรยหน้าขนม เป็นต้น ใน 1 วัน ไม่ควรรับประทานเกิน 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม

ข้อดี    ไม่เกิดการสะสมในร่างกาย ถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วและกำจัดออกมาในรูปเดิมามารถใช้ได้ในสตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตร และผู้ป่วย phenylketonuria

          4. ซูคราโลส (Sucralose) มีความหวานใกล้เคียงกับน้ำตาลธรรมชาติ อนุญาตให้ใช้ในอาหาร เช่น ไอศกรีม ขนมขบเคี้ยว ซอส ลูกกวาด แยม และอาหารกระป๋อง เป็นต้น ใน 1 วัน ไม่ควรรับประทานเกิน 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม

ข้อดี    คงตัวดี ทนต่อความร้อนสูง ไม่ดูดความชื้น ละลายน้ำได้ดี ไม่มีรสขมติดลิ้น ใช้ปรุงอาหารและขนมทุกชนิดที่ต้องใช้ความร้อนสูงและไม่สูญเสียความหวาน 

ข้อเสีย อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ในบางคน

5. นีโอเทม (Neotame) ใน 1 วัน ไม่ควรรับประทานเกิน 2 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
 เพราะให้ความหวานมากกว่าสารตัวอื่น ๆ โดยให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล 800-1300 เท่า
ข้อดี    ใช้กับอาหารและเครื่องดื่มได้ทุกประเภท

สารทดแทนความหวานข้างต้น สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย หากบริโภคไม่เกินปริมาณที่กำหนด ซึ่งน้ำตาลเทียมไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่ต้องบริโภคประจำ แต่เป็นเพียงทางเลือกหนึ่งเท่านั้น

ทั้งนี้เราสามารถควบคุมปริมาณน้ำตาลด้วยการอ่านข้อมูลบนฉลากโภชนาการเวลาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารตามร้านสะดวกซื้อหรือซูเปอร์มาร์เก็ตได้ โดยสังเกตปริมาณของน้ำตาล ซึ่งไม่ควรสูงเกิน 0.5 กรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค แต่ในบางบรรจุภัณฑ์อาจระบุข้อความอื่น เช่นSugar Free” คือ ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำตาล หรือมีปริมาณน้ำตาลน้อยกว่า 0.5 กรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค หรือมีรสหวานจากสารให้ความหวานที่ไม่ให้พลังงาน (0 แคลอรี) หรือ “Non-nutritive sweetener” คือ ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารให้ความหวานที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ หรือน้ำตาลเทียมนั่นเอง


ข้อมูลอ้างอิง 

http://lib3.dss.go.th/fulltext/dss_j/2559_64_202_p27-28.pdf
https://www.scimath.org/lesson-chemistry/item/10320-2019-05-13-05-58-02
วิธีอ่านข้อมูลโภชนาการ สำหรับผู้หลีกเลี่ยงน้ำตาลทราย(ควรอ่าน) (liveandfit.com).
https://www.scimath.org/article-chemistry/item/9838-2019-02-22-01-23-21
https://www.fda.moph.go.th/sites/food/FoodAdditives/P381.pdf



คลังรูปภาพ
แท็กที่เกี่ยวข้อง
การเลือกซื้อ
อาหาร
สาระความรู้
อย.
FDAknowledge
oryor
ผลิตภัณฑ์อาหาร
น้ำตาลเทียม
สารให้ความหวาน
สารให้ความหวานแทนน้ำตาล
ขัณฑสกร
นีโอแทม
ซูคราโลส
แอซีซัลเฟมโพแทสเซียม
แซ็กคาริน
แอสพาร์เทม